การลงทุนในตลาด Forex จะซื้อหรือขายเป็นคู่ของสกุลเงิน คือการนำค่าเงินสองสกุลมาเปรียบเทียบกัน
ตัวอย่าง จากตารางข้างต้นแสดงการจับคู่ของค่าเงินสกุลต่างๆ รวมถึงแสดง ราคา ณ ขณะนั้น (อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินที่จับคู่กันอยู่นั่นเอง) โดยในบรรทัดแรกเป็นการจับคู่ระหว่าง เงินยูโร (EUR) กับเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และ บรรทัดที่สองเป็นการจับคู่ระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) กับเงินเยน (JPY) โดยสกุลเงินที่เขียนอยู่ข้างหน้าเครื่องหมาย " / " คือค่าเงินฐาน (base currency) มีค่าเท่ากับ 1 และ สกุลเงินที่เขียนอยู่ข้างหลังเครื่องหมายคือค่าเงินที่อ้างอิง (quote currency) มีค่าตามอัตราที่แสดงในตาราง
ตัวอย่างจากคู่ของสกุลเงินในบรรทัดแรก EUR/USD หมายความว่า ณ ขณะนั้น 1 EUR มีค่าเทียบเท่ากับ 1.3187 USD (พิจารณาราคาจากคอลัมน์ Last ซึ่งเป็นราคาล่าสุดที่มีการซื้อขาย ณ ขณะนั้น) เมื่อราคามีการเปลี่ยนแปลงไปอาจจะปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลงก็ตามก็จะเป็นการบ่งบอกถึงการแข็งค่าหรืออ่อนค่าโดยเปรียบเทียบระหว่างสกุลเงินที่จับคู่กันอยู่ เช่น หากราคาของ EUR/USD มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็น 1.3215 ก็อาจหมายความว่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯเพราะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์ฯได้มากขึ้น 0.0028USD
(1.3215 - 1.3187 เท่ากับ 0.0028) หรือเงินดอลลาร์ฯอาจอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโร เป็นต้น
ดังนั้นการทำกำไรในตลาด Forex จึงมีอยู่สองรูปแบบคือ
1.การเข้าซื้อ (buy) หรือการเปิดสถานะ long
คือการมองว่าราคามีแนวโน้มสูงขึ้นโดยการเข้าซื้อ ณ ระดับราคาหนึ่งและทำการขายหลังจากที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นเพื่อทำกำไร
ซื้อถูก-ขายแพงนั่นเอง
โดยคุณสามารถเข้าซื้อได้ ที่ราคา ที่โบรกเกอร์ เสนอขายหรือ Offer,Ask ( ดูคอลัมน์ Offer จากตารางด้านบน ) และปิดสถานะหรือขายที่ราคารับซื้อ Bid ( ดูคอลัมน์ Bid จากตารางด้านบน ) จะเห็นได้ว่าราคา offer และ bid มีส่วนต่างกันอยู่ เช่นในบรรทัดที่ 2 คู่ของ USD/JPY มีราคา offer ที่ 76.13 และราคา bid ที่ 76.10 ส่วนต่างเท่ากับ 0.03 หรือ 3 จุด ซึ่งส่วนต่างดังกล่าวเรียกว่า spread เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการซื้อขายและถือเป็นรายได้ของโบรกเกอร์ด้วย เช่นหากคุณเข้าซื้อที่ราคา offer ที่ 76.13 สถานะออเดอร์ก็จะติดลบ 3 จุดและหากคุณทำการปิดสถานะหรือขายในขณะนั้นเลยก็จะขาดทุน 3 จุดเพราะต้องขายคืนที่ราคา bid ที่ 73.10
แต่หากคุณยังคงถือสถานะต่อไปเรื่อยๆจนราคา bid มีค่ามากกว่าราคาที่เข้าซื้อ (76.13) สถานะออเดอร์ก็จะเป็นบวกหรือได้กำไร
2.การขายออกไปก่อนแล้วซื้อคืนในภายหลัง (sell) หรือการเปิดสถานะ short
คือการมองว่าราคามีแนวโน้มลดลง โดยส่งคำสั่งขาย ณ ระดับราคาหนึ่งและ ทำการซื้อคืนโบรกเกอร์ด้วยราคาที่ถูกกว่า โดยในกรณีนี้คุณทำรายการหรือเปิดสถานะที่ ราคา bid และทำการปิดสถานะที่ราคา offer
ยกตัวอย่างทั้งสองกรณีจากภาพด้านล่างเป็นกราฟแสดงการเคลื่อนไหวของราคาคู่ EUR/USD ตั้งแต่วันที่ 7/11/2011 ถึง วันที่ 30/01/2012
หากคุณ buy หรือเปิดสถานะ longที่จุด x ที่ราคาเท่ากับ 1.2669 ณ วันที่ 16/01/2012 และขายออกไปหรือปิดสถานะที่จุด p ที่ราคาเท่ากับ 1.3140 ในวันที่ 30/01/2012
คุณก็จะได้รับกำไรเท่ากับ 471 pip
*สมมุติว่ากรณีดังกล่าวมีมูลค่า pip เท่ากับ 0.10 USD หรือ pip ละ 10 เซนต์ กำไรที่ได้รับคือ 0.10*471 เท่ากับ 47.10 USD ในขณะเดียวกันหากคุณ sell หรือเปิดสถานะ short ที่จุด x และทำการปิดสถานะเพื่อหยุดการขาดทุนที่จุด p ก็จะมีขนาดการขาดทุนเท่ากับ 47.10 USD ได้เช่นกัน!
แต่หากคุณ sell ที่จุด a ที่ราคา 1.3381 และทำการปิดสถานะเพื่อทำกำไรที่จุด x ที่ราคา 1.2669 ก็จะได้กำไร 712 pip
สำหรับระยะเวลาการถือออเดอร์นั้นไม่จำกัด สามารถถือในระยะยาวเป็นเดือน,ปี หรือระยะสั้นเพียง 5-10 นาทีแล้วปิดสถานะหรือขายออกไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับแผนการและรูปแบบการลงทุนของแต่ละคน
ปัญหาต่อมาก็คือจะรู้ได้อย่างไรว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปทิศทางใหน ก็ต้องอาศัยการวิเคราะห์ (ดูบทความแนวทางการวิเคราะห์) ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการศึกษา เพื่อการประสบความสำเร็จในการลงทุน และนำมาซึ่งผลกำไรที่งดงาม
ไม่ยากง่ายหรอกครับหากสนใจและตั้งใจจริง ค่อยๆอ่านไปทีละบทความนะครับ
No comments:
Post a Comment